ก่อนอื่นเราอยากบอกว่า เราตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาคิดอยู่นานว่าจะตั้งดีไหม เราไม่รู้จะปรึกษาใคร ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน และอยากระบายค่ะ
เริ่มจากตั้งแต่ตอนประถมพ่อแม่แม่เราเลิกกันเพราะพ่อไปมีครอบครัวใหม่ คือมีเมียมีลูกใหม่ แม่เลยพาเราย้ายไปอยู่กับตายายที่ต่างจังหวัด ครอบครัวตายายเป็นชาวไร่ชาวนาไม่รำ่รวยอะไร ตอนแม่พามาบ้านตายายแม่อายุ37แล้วค่ะ หางานทำยากมากๆ เลยต้องช่วยตายายทำงานที่บ้าน ตอนแรกแม่ก็ดีนะคะ ปกติ พูดน้อย เรียบร้อย อ่อนหวาน แต่ต่อมาไม่นานตอนช่วงที่เราอยู่ป.ห้า แม่ก็เริ่มเก็บตัวเงียบไม่สมาคมกับใคร อยู่แต่ในห้องนอนไม่ทำงาน จนตายายต้องบังคับให้ออกมาช่วยงานเพราะถ้าไม่ทำ ก็จะไม่มีกิน แม่ก็ออกมานะคะ แต่เริ่มมีอาการเหม่อลอย พูดมากขึ้นเรื่อยๆบางทีสิ่งที่แม่พูดก็เป็นเรื่องที่แม่คิดหรือจินตนาการลอยขึ้นมาเอง อย่างบอกว่าพ่อมาหาเราแต่ความจริงแล้วไม่ใช่เริ่มมีอาระวาดโวยวายขว้างข้าวของ คิดว่าจะมีคนมาทำร้ายตลอดเวลาไม่ยอมหลับยอมนอน ตอนนั้นตายายและน้าๆเลยพาไป รพ.จิตเวช ก็ดีขึ้น หมอเลยให้กลับบ้าน แต่พอกลับมาบ้านแม่ไม่ยอมกินยาเลย บังคับก็ไม่ได้ อาการแม่เลยกลับมา แม่จะพูดเสมอว่าพวกน้าจะมาทำร้ายบ้างจะแย่งมรดกตัวเองบ้าง แต่ความจริงไม่ใช่นะคะ ทุกคนช่วยเหลือเราสองแม่ลูกดีมากและเป็นครอบครัวที่รักและสามัคคีมากเราเลยถูกปลูกฝังเรื่องการมองโลกในแง่ดีและการเห็นใจ มีนำ้ใจ มาแต่เด็ก ในตอนนั้นเราต้องทำงานทุกอย่างแทนแม่ เพราะแม่ทำไม่ได้ทั้งงานบ้าน งานที่ต้องหารายได้ เล็กๆน้อยๆเพื่อช่วยแบ่งเบาตายาย อย่างไปรับจ้างชาวบ้าน ดำนา,เกี่ยวข้าว,ตัดอ้อย,ปลูกอ้อย,ขุดมัน,ปลูกมันสำปะหลัง,ปลูกผักเก็บปูส่งแม่ค้าตลาดสดฯ เอาทุกอย่างที่พอทำได้เพื่อให้ได้เงินมาเรียน แม่เองก็อาการทรงตัว มีอาระวาดเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่รุนแรงมากอาจแค่สร้างความรำคาญให้คนในหมู่บ้านบ้าง แต่ดีที่ทุกคนเข้าใจเลยไม่ถืออะไรมาก เราเองก็ช่วยตายายจน จบม.ต้น เลยเข้าในเมืองหางานทำ ตัดสินใจไม่เรียนต่อในโรงเรียนอำเภอเหมือนเพื่อนๆคนอื่น เราเลือกที่จะเรียน กศน และทำงานไปด้วยเป็นร้านขายสินค้าส่งรายใหญ่ในจังหวัดโชคดีที่เขารับเด็กที่พึ่งจบ ม.3 ที่อายุแค่ 14-15 ตอนนั้นเงินเดือนสี่พันค่ะ ได้หยุดเดือนละวัน งานก็ค่อนข้างหนักสำหรับบางคนนะคะแต่เราเคยทำงานหนักมาก่อนเลยไม่เป็นไร ตื่นหกโมงเช้าเลิกงานหนื่งทุ่ม อยู่กินกับเจ้านาย เจ้านายเมตตาแบ่งห้องเล็กๆหลังร้านให้อยู่ ทำให้ไม่เสียค่านำ้ค่าไฟและค่าเช่าหอ มีเงินพอส่งตัวเองเรียนและช่วยแม่ ช่วงนั้นตายายแบ่งที่ทางให้แม่ทำนานคนเดียวบ้างและปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆกันให้แยกไปอยู่ เพื่อให้เราสองแม่ลูกมีอะไรเป็นหลักเป็นแหล่ง พอแม่เริ่มทำนาก็ได้ผลผลิตไม่เท่าไหร่ผู้หญิงทำนาคนเดียวก็ต้องจ้าง ไหนจะค่าปุ๋ยค่ายา ทำให้ขาดทุนต้องไปกู้หนี้ยืมสินมา เป็นหนี้มากมาย เราเองก็แย่มากๆที่ไม่ได้ไปช่วยแม่เลยเพราะงานที่ทำ ได้กลับบ้านแค่ช่วงปีใหม่และสงกรานต์ คิดย้อนไปก็รู้สึกผิดไม่หาย ถ้าเราอยู่คงช่วยแม่ทำได้ แต่เราก็จะไม่ได้เรียน แม่อยากให้เราเรียนจบ ป.ตรี แม่หวังมากๆ เพราะแม่เคยผิดหวังจากการที่เรียนไม่จบมาแล้ว เลยอยากให้เราเรียนสูงๆ เราเลยต้องอยู่ในเมืองหาเงินเก็บเงินเรียน พอจบม.ปลาย เราไปสอบเข้ามหาลัยรัฐบาลใหญ่ๆได้ ได้คณะที่อยากเรียน ตั้งใจจะกู้กยศเรียน แต่สุดท้ายต้องล้มเลิกสละสิทธิ์เพราะค่าใช้จ่ายจิปาถะทั้งค่ากิจกรรม ค่าแรกเข้า ค่าต่างๆอีกมากมายเยอะเหลือเกิน ใหนจะหนี้ที่ต้องช่วยแม่ใช้ เราเลยคิดว่าทำงานและเรียน มสธ ดีกว่า ตอนนั้นแม่อาการหนักบ้างดีบ้าง แต่มีสิ่งหนึ่งเพิ่มมาคือ อาการหลอน และได้ยินเสียง ทำให้พูดคนเดียว เหม่อลอย บางทีก็อาระวาดจนน้าๆไม่ได้หลับได้นอน ช่วงนั้นเราอยากกลับไปอยู่บ้านไปดูแลแม่มากๆ ทั้งเกรงใจน้าๆและตายายด้วย เราเป็นลูกแท้ๆทำไมไม่ไปดูแล แต่น้าก็บอกว่าแม่หวังให้เราเรียนจบมาก อย่าเพิ่งกลับจนกว่าจะได้รับปริญญา เพราะถ้ากลับทั้งที่ยังไม่จบแม่จะเสียใจและอาการทรุดหนักกว่าเดิม เราก็เลยยอมทน ทำงานไปเรียนไป แต่ทุกท่านเข้าใจไหมค่ะ ว่าเราทำงานตื่นเช้ากลับดึก เหนื่อยๆมากๆ ทำให้มีเวลาอ่านหนังสือน้อย อาศัยความรู้จากช่วงที่เราตั้งใจเรียนตอน ม.ต้น และ ม.ปลายทำให้สอบผ่านวิชาช่วงต้นๆพื้นฐานได้ หลายวิชา แต่พอช่วงวิชาบังคับ เริ่มจะสอบไม่ผ่าน บางเทอมเงินไม่พอลงทะเบียนบ้าง ทำให้ต้องดรอป จนทำให้เรียนจบช้า ช่วงนั้นเราไม่สนใจเรื่องความรักเลย ไม่เคยมีแฟนไม่เปิดใจรับใครสนใจแต่งานกับเรียน ในหัวมีแต่เรื่องจะรักษาแม่ อยากให้แม่หาย แต่แล้วก็มีช่วงหนึ่งเป็นช่วงที่ยายเริ่มล้มป่วย และแม่ก็อาการหนักขึ้นจากที่จะอาระวาดนานครั้งเริ่มเป็นถี่ขึ้น หนี้สินเยอะขึ้น เลยให้แม่หยุดทำงาน แล้วเราขอแบกรับหนี้สินแต่เพียงผู้เดียว ตอนนั้นเราเหนื่อยมากเครียดมาก พอเริ่มมีคนเข้ามาให้กำลังใจ คอยช่วยให้คำปรึกษาเราเลยปล่อยใจ ยอมมีแฟน คบกับคนๆนั้น แต่ก็เหมือนเพราะเราเป็นคนมองโลกในแง่ดีไม่ทันคนแบบสาวบ้านนอกอ่ะค่ะเลยโดนหลอก ต้องมีหนี้เพิ่มอีกเกือบแสน เสียใจจนแทบฆ่าตัวตาย แต่ก็ยังมีน้าและตาที่เเตือนสติ ช่วยเหลือ ให้กำลังใจเราเลยผ่านช่วงนั้นมา กลับมาตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงานเก็บเงินใช้หนี้ เราก็คิดซะว่าเป็นเคราะห์กรรมที่เราเคยทำเขามา ถ้าเราไม่โง่ใครก็หลอกไม่ได้ เพราะความโง่เราเลยต้องทน และปล่อยวางอโหสิให้เขา เก็บบทเรียนให้เราระวังในการคบคนมากขึ้น
ตอนนี้เราอายุ 25 แล้วเรายังคนเรียนอยู่ สอบซ่อมแล้วซ่อมอีก ทำยังไงก็ไม่จบ หน้าที่การงานก้าวหน้านะคะแต่เรื่องเรียนเราแย่มากๆ เราไม่เอาไหนเลย เรียนก็ยังไม่จบ ทั้งที่เพื่อนรุ่นเดียวกันเขาเรียนจบหมดแล้ว แต่งงานมีครอบครัวที่มั่นคง แต่เราไม่มีอะไรเลยค่ะ เรียนก็ยังไม่จบ เงินเก็บก็ไม่มี ทั้งที่ค่อนข้างประหยัดมากๆ ตอนนี้เป็นห่วงแม่มากๆ ตอนล่าสุดสงกรานต์ที่ผ่านมากลับบ้าน เจอแม่ผอมมากๆ ผอมจนเราเห็นครั้งแรกนำ้ตาคลอเลย แม่เราอยู่อย่าอดๆอยากหรือ ทำไมเราปล่อยแม่ให้ผอมขนาดนี้ อยากให้แม่มาอยู่ในเมืองด้วยเลย จะได้ดูแลท่าน แต่ท่านไม่ยอมมาอยู่ด้วยเพราะเป็นห่วงบ้าน จะไม่มีคนอยู่ และคิดระแวงว่าจะมีคนมาแย่งสมบัติ เพราะท่านหลอนและยังคงได้ยินเสียงในหัวตลอด เราจึงคุยกับน้าว่าอยากกลับไปดูแลแม่ที่บ้าน แต่น้ายังยืนยันและพูดคำเดิมว่าแม่เป็นพี่สาวท่านยังไงท่านก็จะดูแลตลอดชีวิต อยากให้เราไปอยู่บ้านพร้อมความสำเร็จให้แม่ดีใจดีกว่า เพราะแม่จะได้อาการดีขึ้น และอาจหายเพราะใบปริญญาที่แม่ฝังใจก็ได้ เราจึงตั้งใจว่าปีหน้าเราต้องเรียนให้จบให้ได้ เพราะเรียนมาจะแปดปีแล้ว จะได้กลับไปดูแลแม่ที่รักสักทีหลังจากที่จากมานาน
เราอยากรู้ว่า -อาการที่แม่เป็นเรียกว่าโรคอะไรคะ รักษาหายได้รึป่าว ต้องทำยังไง เพราะแม่ไม่ร่วมมือในการรักษาเลยค่ะ
-ขอคำแนะนำสำหรับผู้ที่เคยเรียน มสธ ด้วยนะคะ (เรียน คณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศค่ะ)
- ใครมีเทคนิกเก็บเงิน สำหรับคนที่เงินเดือนน้อยๆ แปดเก้าพัน บ้านต้องเช่า ข้าวต้องซื้อ หนี้ต้องใช้บ้างคะ
และสุดท้าย ขอบคุณที่ทนอ่าน และกรุณาให้คำปรึกษานะคะ



เป็นห่วงแม่มากๆเลยค่ะ
เริ่มจากตั้งแต่ตอนประถมพ่อแม่แม่เราเลิกกันเพราะพ่อไปมีครอบครัวใหม่ คือมีเมียมีลูกใหม่ แม่เลยพาเราย้ายไปอยู่กับตายายที่ต่างจังหวัด ครอบครัวตายายเป็นชาวไร่ชาวนาไม่รำ่รวยอะไร ตอนแม่พามาบ้านตายายแม่อายุ37แล้วค่ะ หางานทำยากมากๆ เลยต้องช่วยตายายทำงานที่บ้าน ตอนแรกแม่ก็ดีนะคะ ปกติ พูดน้อย เรียบร้อย อ่อนหวาน แต่ต่อมาไม่นานตอนช่วงที่เราอยู่ป.ห้า แม่ก็เริ่มเก็บตัวเงียบไม่สมาคมกับใคร อยู่แต่ในห้องนอนไม่ทำงาน จนตายายต้องบังคับให้ออกมาช่วยงานเพราะถ้าไม่ทำ ก็จะไม่มีกิน แม่ก็ออกมานะคะ แต่เริ่มมีอาการเหม่อลอย พูดมากขึ้นเรื่อยๆบางทีสิ่งที่แม่พูดก็เป็นเรื่องที่แม่คิดหรือจินตนาการลอยขึ้นมาเอง อย่างบอกว่าพ่อมาหาเราแต่ความจริงแล้วไม่ใช่เริ่มมีอาระวาดโวยวายขว้างข้าวของ คิดว่าจะมีคนมาทำร้ายตลอดเวลาไม่ยอมหลับยอมนอน ตอนนั้นตายายและน้าๆเลยพาไป รพ.จิตเวช ก็ดีขึ้น หมอเลยให้กลับบ้าน แต่พอกลับมาบ้านแม่ไม่ยอมกินยาเลย บังคับก็ไม่ได้ อาการแม่เลยกลับมา แม่จะพูดเสมอว่าพวกน้าจะมาทำร้ายบ้างจะแย่งมรดกตัวเองบ้าง แต่ความจริงไม่ใช่นะคะ ทุกคนช่วยเหลือเราสองแม่ลูกดีมากและเป็นครอบครัวที่รักและสามัคคีมากเราเลยถูกปลูกฝังเรื่องการมองโลกในแง่ดีและการเห็นใจ มีนำ้ใจ มาแต่เด็ก ในตอนนั้นเราต้องทำงานทุกอย่างแทนแม่ เพราะแม่ทำไม่ได้ทั้งงานบ้าน งานที่ต้องหารายได้ เล็กๆน้อยๆเพื่อช่วยแบ่งเบาตายาย อย่างไปรับจ้างชาวบ้าน ดำนา,เกี่ยวข้าว,ตัดอ้อย,ปลูกอ้อย,ขุดมัน,ปลูกมันสำปะหลัง,ปลูกผักเก็บปูส่งแม่ค้าตลาดสดฯ เอาทุกอย่างที่พอทำได้เพื่อให้ได้เงินมาเรียน แม่เองก็อาการทรงตัว มีอาระวาดเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่รุนแรงมากอาจแค่สร้างความรำคาญให้คนในหมู่บ้านบ้าง แต่ดีที่ทุกคนเข้าใจเลยไม่ถืออะไรมาก เราเองก็ช่วยตายายจน จบม.ต้น เลยเข้าในเมืองหางานทำ ตัดสินใจไม่เรียนต่อในโรงเรียนอำเภอเหมือนเพื่อนๆคนอื่น เราเลือกที่จะเรียน กศน และทำงานไปด้วยเป็นร้านขายสินค้าส่งรายใหญ่ในจังหวัดโชคดีที่เขารับเด็กที่พึ่งจบ ม.3 ที่อายุแค่ 14-15 ตอนนั้นเงินเดือนสี่พันค่ะ ได้หยุดเดือนละวัน งานก็ค่อนข้างหนักสำหรับบางคนนะคะแต่เราเคยทำงานหนักมาก่อนเลยไม่เป็นไร ตื่นหกโมงเช้าเลิกงานหนื่งทุ่ม อยู่กินกับเจ้านาย เจ้านายเมตตาแบ่งห้องเล็กๆหลังร้านให้อยู่ ทำให้ไม่เสียค่านำ้ค่าไฟและค่าเช่าหอ มีเงินพอส่งตัวเองเรียนและช่วยแม่ ช่วงนั้นตายายแบ่งที่ทางให้แม่ทำนานคนเดียวบ้างและปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆกันให้แยกไปอยู่ เพื่อให้เราสองแม่ลูกมีอะไรเป็นหลักเป็นแหล่ง พอแม่เริ่มทำนาก็ได้ผลผลิตไม่เท่าไหร่ผู้หญิงทำนาคนเดียวก็ต้องจ้าง ไหนจะค่าปุ๋ยค่ายา ทำให้ขาดทุนต้องไปกู้หนี้ยืมสินมา เป็นหนี้มากมาย เราเองก็แย่มากๆที่ไม่ได้ไปช่วยแม่เลยเพราะงานที่ทำ ได้กลับบ้านแค่ช่วงปีใหม่และสงกรานต์ คิดย้อนไปก็รู้สึกผิดไม่หาย ถ้าเราอยู่คงช่วยแม่ทำได้ แต่เราก็จะไม่ได้เรียน แม่อยากให้เราเรียนจบ ป.ตรี แม่หวังมากๆ เพราะแม่เคยผิดหวังจากการที่เรียนไม่จบมาแล้ว เลยอยากให้เราเรียนสูงๆ เราเลยต้องอยู่ในเมืองหาเงินเก็บเงินเรียน พอจบม.ปลาย เราไปสอบเข้ามหาลัยรัฐบาลใหญ่ๆได้ ได้คณะที่อยากเรียน ตั้งใจจะกู้กยศเรียน แต่สุดท้ายต้องล้มเลิกสละสิทธิ์เพราะค่าใช้จ่ายจิปาถะทั้งค่ากิจกรรม ค่าแรกเข้า ค่าต่างๆอีกมากมายเยอะเหลือเกิน ใหนจะหนี้ที่ต้องช่วยแม่ใช้ เราเลยคิดว่าทำงานและเรียน มสธ ดีกว่า ตอนนั้นแม่อาการหนักบ้างดีบ้าง แต่มีสิ่งหนึ่งเพิ่มมาคือ อาการหลอน และได้ยินเสียง ทำให้พูดคนเดียว เหม่อลอย บางทีก็อาระวาดจนน้าๆไม่ได้หลับได้นอน ช่วงนั้นเราอยากกลับไปอยู่บ้านไปดูแลแม่มากๆ ทั้งเกรงใจน้าๆและตายายด้วย เราเป็นลูกแท้ๆทำไมไม่ไปดูแล แต่น้าก็บอกว่าแม่หวังให้เราเรียนจบมาก อย่าเพิ่งกลับจนกว่าจะได้รับปริญญา เพราะถ้ากลับทั้งที่ยังไม่จบแม่จะเสียใจและอาการทรุดหนักกว่าเดิม เราก็เลยยอมทน ทำงานไปเรียนไป แต่ทุกท่านเข้าใจไหมค่ะ ว่าเราทำงานตื่นเช้ากลับดึก เหนื่อยๆมากๆ ทำให้มีเวลาอ่านหนังสือน้อย อาศัยความรู้จากช่วงที่เราตั้งใจเรียนตอน ม.ต้น และ ม.ปลายทำให้สอบผ่านวิชาช่วงต้นๆพื้นฐานได้ หลายวิชา แต่พอช่วงวิชาบังคับ เริ่มจะสอบไม่ผ่าน บางเทอมเงินไม่พอลงทะเบียนบ้าง ทำให้ต้องดรอป จนทำให้เรียนจบช้า ช่วงนั้นเราไม่สนใจเรื่องความรักเลย ไม่เคยมีแฟนไม่เปิดใจรับใครสนใจแต่งานกับเรียน ในหัวมีแต่เรื่องจะรักษาแม่ อยากให้แม่หาย แต่แล้วก็มีช่วงหนึ่งเป็นช่วงที่ยายเริ่มล้มป่วย และแม่ก็อาการหนักขึ้นจากที่จะอาระวาดนานครั้งเริ่มเป็นถี่ขึ้น หนี้สินเยอะขึ้น เลยให้แม่หยุดทำงาน แล้วเราขอแบกรับหนี้สินแต่เพียงผู้เดียว ตอนนั้นเราเหนื่อยมากเครียดมาก พอเริ่มมีคนเข้ามาให้กำลังใจ คอยช่วยให้คำปรึกษาเราเลยปล่อยใจ ยอมมีแฟน คบกับคนๆนั้น แต่ก็เหมือนเพราะเราเป็นคนมองโลกในแง่ดีไม่ทันคนแบบสาวบ้านนอกอ่ะค่ะเลยโดนหลอก ต้องมีหนี้เพิ่มอีกเกือบแสน เสียใจจนแทบฆ่าตัวตาย แต่ก็ยังมีน้าและตาที่เเตือนสติ ช่วยเหลือ ให้กำลังใจเราเลยผ่านช่วงนั้นมา กลับมาตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงานเก็บเงินใช้หนี้ เราก็คิดซะว่าเป็นเคราะห์กรรมที่เราเคยทำเขามา ถ้าเราไม่โง่ใครก็หลอกไม่ได้ เพราะความโง่เราเลยต้องทน และปล่อยวางอโหสิให้เขา เก็บบทเรียนให้เราระวังในการคบคนมากขึ้น
ตอนนี้เราอายุ 25 แล้วเรายังคนเรียนอยู่ สอบซ่อมแล้วซ่อมอีก ทำยังไงก็ไม่จบ หน้าที่การงานก้าวหน้านะคะแต่เรื่องเรียนเราแย่มากๆ เราไม่เอาไหนเลย เรียนก็ยังไม่จบ ทั้งที่เพื่อนรุ่นเดียวกันเขาเรียนจบหมดแล้ว แต่งงานมีครอบครัวที่มั่นคง แต่เราไม่มีอะไรเลยค่ะ เรียนก็ยังไม่จบ เงินเก็บก็ไม่มี ทั้งที่ค่อนข้างประหยัดมากๆ ตอนนี้เป็นห่วงแม่มากๆ ตอนล่าสุดสงกรานต์ที่ผ่านมากลับบ้าน เจอแม่ผอมมากๆ ผอมจนเราเห็นครั้งแรกนำ้ตาคลอเลย แม่เราอยู่อย่าอดๆอยากหรือ ทำไมเราปล่อยแม่ให้ผอมขนาดนี้ อยากให้แม่มาอยู่ในเมืองด้วยเลย จะได้ดูแลท่าน แต่ท่านไม่ยอมมาอยู่ด้วยเพราะเป็นห่วงบ้าน จะไม่มีคนอยู่ และคิดระแวงว่าจะมีคนมาแย่งสมบัติ เพราะท่านหลอนและยังคงได้ยินเสียงในหัวตลอด เราจึงคุยกับน้าว่าอยากกลับไปดูแลแม่ที่บ้าน แต่น้ายังยืนยันและพูดคำเดิมว่าแม่เป็นพี่สาวท่านยังไงท่านก็จะดูแลตลอดชีวิต อยากให้เราไปอยู่บ้านพร้อมความสำเร็จให้แม่ดีใจดีกว่า เพราะแม่จะได้อาการดีขึ้น และอาจหายเพราะใบปริญญาที่แม่ฝังใจก็ได้ เราจึงตั้งใจว่าปีหน้าเราต้องเรียนให้จบให้ได้ เพราะเรียนมาจะแปดปีแล้ว จะได้กลับไปดูแลแม่ที่รักสักทีหลังจากที่จากมานาน
เราอยากรู้ว่า -อาการที่แม่เป็นเรียกว่าโรคอะไรคะ รักษาหายได้รึป่าว ต้องทำยังไง เพราะแม่ไม่ร่วมมือในการรักษาเลยค่ะ
-ขอคำแนะนำสำหรับผู้ที่เคยเรียน มสธ ด้วยนะคะ (เรียน คณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศค่ะ)
- ใครมีเทคนิกเก็บเงิน สำหรับคนที่เงินเดือนน้อยๆ แปดเก้าพัน บ้านต้องเช่า ข้าวต้องซื้อ หนี้ต้องใช้บ้างคะ
และสุดท้าย ขอบคุณที่ทนอ่าน และกรุณาให้คำปรึกษานะคะ